ที่”สรรพสามิต”แจงการขึ้นภาษีน้ำมันเบนซิน-ดีเซล 24-30 สตางค์ต่อลิตร แต่ไม่กระทบราคาขายปลีกเหตุรัฐลดเงินนำส่งเข้ากองทุนน้ำมัน รัฐมีเงินรายได้เพิ่มเป็น 1.6 หมื่นล้านบาท/เดือน จากเดิม 1.52 หมื่นล้านบาท/เดือน คาดน้ำมันดิบดูไบทั้งปีเฉลี่ย 44-50 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ส่วนก๊าซหุงต้ม คงไว้ที่เดิม แม้ราคาต้นทุนลดลง เหตุต้องเพิ่มเงินนำส่งกองทุน หลังจากก่อนหน้านี้ได้รับการชดชยไปมากแล้ว
ด้านนายทวารัฐ สูตะบุตร ผู้อำนวยการ สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายและ
แผนพลังงาน (กบง.) ที่มี พล.อ.อนันตพร กาญจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เป็นประธาน ได้เห็นชอบปรับลดเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงให้สอดคล้องกับมติครม. เมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม 2559 และมีมติให้ปรับขึ้นภาษีสรรพสามิตน้ำมันเบนซินและดีเซล เฉลี่ย 24-30 สตางค์ต่อลิตร มีผลวันที่ 8 ก.ค. แต่ไม่ส่งผลให้ราคาน้ำมันหน้าปั๊มเปลี่ยนแปลง ประชาชนไม่ได้รับผลกระทบ เพราะมีการลดสัดส่วนเงินนำส่งกองทุนน้ำมัน โดยรัฐจะมีรายได้จากภาษีเพิ่มขึ้น 800 ล้านบาทต่อเดือน จาก 15,252 ล้านบาทต่อเดือน เป็น 16,053 ล้านบาทต่อเดือน เพื่อนำไปใช้ประโยชน์ในการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ รักษาสิ่งแวดล้อม ก่อสร้างและซ่อมบำรุงถนน และลดอุบัติเหตุจากการจราจร
โดยราคาน้ำมันที่ลดลงต่อเนื่องทำให้กองทุนน้ำมันฯมีฐานะที่ดีขึ้นโดยมีเงินสะสม 4.44 หมื่นล้านบาท และแนวโน้มก็ยังมองว่าราคาน้ำมันดิบดูไบเฉลี่ยทั้งปีนี้จะอยู่ที่ 44-50 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล การปรับภาษีสรรพสามิตน้ำมันก็จะดูที่ไม่กระทบประชาชนคือช่วงน้ำมันลด ซึ่ง 2 ปี ที่ผ่านมามีการใช้กลไกนำเงินกองทุนน้ำมันไปให้คลังลักษณะนี้แล้วรวม 1.352 แสนล้านบาท จากมติดังกล่าวทำให้ภาษีสรรพสามิตน้ำมันใหม่เป็นดังนี้ ภาษีสรรพสามิตเบนซินเก็บเพิ่ม 30 สตางค์ต่อลิตรเป็น 6.30 บาทต่อลิตร แก๊สโซฮอล์ 95 เก็บเพิ่ม 27 สตางค์ต่อลิตรเป็น 5.67 บาทต่อลิตร แก๊สโซฮอล์ 91 เก็บเพิ่ม 27 สตางค์ต่อลิตรเป็น 5.67 บาทต่อลิตร แก๊สโซฮอล์ E20 เก็บเพิ่ม 24 สตางค์ต่อลิตร เป็น 5.04 บาทต่อลิตรแก๊สโซฮอล์ E85 เพิ่มขึ้น 0.045 บาทต่อลิตร เป็น 0.945 บาทต่อลิตร และดีเซลเพิ่มขึ้น 30 สตางค์ต่อลิตร เป็น 5.65 บาทต่อลิตร ซึ่งทำให้ต้องมีการปรับการเก็บเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงให้สอดคล้องกับการขึ้นภาษีฯดังกล่าว
ขณะนี้ กบง.ยังคงมีมติเห็นควรให้คงราคาขายปลีกก๊าซแอลพีจี เดือนกรกฎาคม 2559 ไว้ที่ 20.29 บาทต่อกิโลกรัม แม้ราคาแอลพีจีตลาดโลก (CP) เดือนกรกฎาคม 2559 อยู่ที่ระดับ 301 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน ปรับตัวลดลงจากเดือนก่อน 43 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน ขณะที่อัตราแลกเปลี่ยนเฉลี่ยเดือนมิถุนายน 2559 แข็งค่าขึ้นจากเดือนก่อน 0.1418 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ มาอยู่ที่ 35.4733 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ส่งผลให้ราคาต้นทุนเฉลี่ยการจัดหาก๊าซแอลพีจีทั้งระบบ ซึ่งเป็นราคาซื้อตั้งต้นของก๊าซแอลพีจี (LPG Pool) ปรับตัวลดลง 0.6607 บาทต่อกิโลกรัม จาก 13.9150 บาทต่อกิโลกรัม เป็น 13.2543 บาทต่อกิโลกรัม
“การคงราคาดังกล่าวทำให้ปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ส่วนของบัญชีแอลพีจี เพิ่มขึ้น 0.6607 บาทต่อกิโลกรัม จากเดิมกองทุนน้ำมันฯ ชดเชย 0.5960 บาทต่อกิโลกรัม เป็นส่งเงินเข้ากองทุนน้ำมันฯ ที่ 0.0647 บาทต่อกิโลกรัม ให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 8 กรกฎาคม 2559 เป็นต้น ส่งผลทำให้กองทุนน้ำมันฯ ในส่วนของก๊าซแอลพีจี มีรายรับประมาณ 22 ล้านบาทต่อเดือน จากเดิมติดลบ 192 ล้านบาท”
ทั้งนี้ ฐานะสุทธิของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ณ วันที่ 3 กรกฎาคม 2559 อยู่ที่ 44,461ล้านบาท แบ่งเป็น 1.ในส่วนของบัญชีก๊าซแอลพีจีอยู่ที่ 7,128 ล้านบาท และ 2.ในส่วนของบัญชีน้ำมันสำเร็จรูปอยู่ที่ 37,333 ล้านบาท.
“จากราคาน้ำมันตลาดโลกที่ลดลงและตั้งแต่รัฐบาล คสช.เข้ามา 2 ปีเศษ ได้มีการปรับโครงสร้างราคาน้ำมัน ภาษี และเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง รวมทั้งดูแลภาคประชาชนไม่ให้มีผลกระทบจากปรับโครงสร้าง ส่งผลให้มีการลดเงินกองทุนแล้วปรับเป็นภาษีรวม 135,259 ล้านบาท” นายทวารัฐ กล่าว
ทางด้าน นางสาวสุมาลี สถิตย์ชัยเจริญผู้อำนวยการสำนักนโยบายภาษี สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) กล่าวว่า ภาษีสรรพสามิตน้ำมันมีเพดานที่ 10 บาทต่อลิตร โดยอัตราสูงสุดเคยเก็บภาษีน้ำมันปี 2554 ที่อัตราเบนซิน 7 บาทต่อลิตร ดีเซล 5.31 บาทต่อลิตร แต่หลังจากราคาน้ำมันปรับสูงขึ้นได้มีการปรับลดอัตราภาษีลงมาและการขึ้นภาษีใหม่ครั้งนี้เป็นการขึ้น เพื่อรักษาเสถียรภาพการคลัง ซึ่งหากจะขึ้นอีกก็จะทยอยจัดเก็บ โดยดูถึงด้านราคาจะต้องไม่กระทบภาคประชาชน ซึ่งจะมีการหารือกับทางกระทรวงพลังงาน การดำเนินการก็จะเป็นการโยกเงินกองทุนน้ำมันเป็นการโยกกระเป๋าซ้ายกระเป๋าขวา โดยประชาชนไม่ได้รับผลกระทบกระเทือนต่อการดำเนินการในครั้งนี้
